นอกจากรัฏฐาธิปัตย์แล้ว บุคคลใดที่รัฏฐาธิปัตย์แต่งตั้งให้ทำหน้าที่ใดๆตามที่มีรัฐธรรมนูญก็ดีกฎหมายระดับต่างๆก็ดีกำหนด ย่อมมีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐทั้งสิ้น ทั้งนี้รวมถึงบุคคลที่เจ้าหน้าที่ดังกล่าวแต่งตั้งตามกฎหมายที่ให้อำนาจลดหลั่นกันด้วย หลักการคือ ไม่มีรัฐธรรมนูญหรือไม่มีกฎหมายระดับต่างๆ บัญญัติระบุอำนาจหน้าที่ให้บุคคลหรือองค์กรใดกระทำการใดหรือไม่กระทำการใดอันเกี่ยวกับสิทธิ หน้าที่ ความรับผิดของรัฐ ย่อมไม่มีเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อการนั้น
มีข้อน่าสังเกตว่า ไม่ปรากฏว่ามีกฎหมายใดระบุถึงรัฏฐาธิปัตย์ เพียงแต่เริ่มต้นจากนักกฎหมายบางคนบางกลุ่มบางฝ่ายมองว่า ผู้มีอำนาจสูงสุดทั้งอำนาจด้านนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ควรได้รับการเรียกขานว่าเป็นรัฏฐาธิปัตย์ และไม่อยู่ในฐานะผู้ถูกตรวจสอบ ซึ่งผู้เขียนมองว่าน่าจะหมายถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช(ไม่มีระบบตรวจสอบและถ่วงดุลการใช้อำนาจทั้งสามด้าน)เป็นสำคัญ รวมทั้งคณะรัฐประหารครั้งแรกอยู่ในฐานะนี้ราวสามวัน(24-26มิถุนายน2475) เพราะใช้อำนาจอาวุธยึดอำนาจสูงสุดของสถาบันพระมหากษัตริย์ไป เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในยุคอยุธยาและปฏิบัติสืบกันมาถึงยุครัตนโกสินทร์ แต่ครั้งต่อๆมาคณะรัฐประหารไม่มีฐานะนั้นเลย นอกจากฐานะเป็นกบฏตลอดตั้งแต่วางแผนลงมือก่อการและสิ้นสุดลงในวันได้รับนิรโทษกรรม
เดิมประเทศไทยมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและทรงเป็นรัฏฐาธิปัตย์มีพระราชอำนาจสูงสุดทั้งด้านนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ โดยไม่มีบุคคลหรือองค์กรอื่นใดตรวจสอบ เพราะสถาบันพระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจทั้งสามด้านนี้โดยตัวของสถาบันฯเองโดยสิทธิขาดตามระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช จึงไม่มีการตรวจสอบและถ่วงดุล มองว่าคงถือตามแนวคิดสถาบันพระมหากษัตริย์ย่อมไม่กระทำผิด(King can do no wrong)
แต่การทำรัฐประหารครั้งแรกในยุครัตนโกสินทร์ ทำให้ตำแหน่งพระมหากษัตริย์ว่างลงชั่วคราวราวสามวัน(24ถึง26มิถุนายน2475) ซึ่งในช่วงนี้ คณะรัฐประหารเป็นรัฏฐาธิปัตย์แทนโดยสิทธิขาด เพราะไม่มีบุคคลและองค์กรใดมีอำนาจตรวจสอบและถ่วงดุล ดังนั้นในช่วงสั้นๆดังกล่าวหัวหน้าคณะรัฐประหารและผู้ร่วมก่อการจึงไม่มีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐ ต่อเมื่อมีพระมหากษัตริย์ตามเดิม และมีการจัดระเบียบการใช้อำนาจใหม่ให้มีระบบตรวจสอบและถ่วงดุลตามรัฐธรรมนูญฉบับแรกใช้ชั่วคราว(มีผลบังคับตั้งแต่27มิถุนายน ถึง9ธันวาคม2475) ความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชจึงสิ้นสุดลง แต่ความเป็นรัฏฐาธิปัตย์นั้น มองว่าไม่ได้สิ้นสุดตามไปด้วย แม้มีการทำรัฐประหารล้มล้างรัฐธรรมนูญหลายครั้ง ก็ไม่ทำให้ความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ยุติลงหรือไปอยู่กับคณะรัฐประหารแม้แต่วันเดียว เพราะความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้ดำรงอยู่ในรูปของประเพณีและนิติประเพณีทางการเมืองการปกครองของสังคมการเมืองไทย และอยู่ในฐานะนี้ต่อเนื่องมาตลอด เช่น กรณีจำเป็นต้องรักษาความสงบเรียบร้อยในบ้านเมือง การลงพระปรมาภิไธยตรารัฐธรรมนูญกฎหมายและประกาศให้ใช้ การมีพระบรมราชโองการแต่งตั้งเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูง การช่วยเหลือประชาชน ฯลฯ ในขณะที่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญฉบับแรกนี้มีผลให้คณะรัฐประหารได้ฐานะเป็นกบฏ(มีผลย้อนไปถึงช่วงวางแผน) แต่ไม่ต้องรับโทษเพราะพระมหากษัตริย์ทรงพระราชทานอภัยโทษ ที่สำคัญการยอมรับพระราชอำนาจการตรารัฐธรรมนูญฉบับแรก ย่อมแสดงยืนยันความเป็นรัฏฐาธิปัตย์ของตำแหน่งและความเป็นสถาบันพระมหากษัตริย์ได้ชัดเจนแล้ว จึงไม่อาจมีบุคคลหรือองค์กรอื่นใดในประเทศมีฐานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ขึ้นมาคู่ขนานได้
ที่สำคัญ มีความชัดเจนว่า การทำรัฐประหารตั้งแต่ครั้งที่สองจนถึงครั้งปัจจุบัน เป็นเพียงการขับไล่หรือยุบคณะรัฐมนตรีและรัฐสภา แม้จะล้มล้างรัฐธรรมนูญแล้วร่างใหม่ ย่อมไม่มีผลให้หัวหน้าคณะรัฐปรหารมีฐานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ดังเช่นการทำรัฐประหารครั้งแรกในยุคที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นสมบูรณาญาสิทธิราช แต่การทำรัฐประหารในยุคใช้รัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์ทรงอยู่ในฐานะเป็นสถาบันทางการเมืองการปกครองสูงสุดของประเทศต่อเนื่องตลอด ศาล และกระบวนการยุติธรรมไม่ได้รับผลกระทบ กระบวนการยุติธรรมยังคงปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ได้ตามเดิมต่อบุคคลทั่วไป เพียงแต่ไม่ใช้อำนาจหน้าที่ต่อคณะรัฐประหารในความผิดฐานกบฏ เพราะผู้ใต้บังคับบัญชาไม่กล้าจับกุมผู้บังคับบัญชาของตนที่เข้าร่วมก่อการ(ยกเว้นในอนาคตใช้ระบบตำรวจท้องถิ่นเป็นหลักแทนระบบตำรวจแห่งชาติ น่าจะทำให้ผู้จะทำรัฐประหารคิดหนักมากขึ้น และอาจทำได้ไม่ง่ายอย่างครั้งก่อนๆจนอาจมองได้ว่า การเข้าสู่อำนาจรัฐโดยใช้อำนาจอาวุธเป็นลัทธิการเมืองประเภทรัฐประหารนิยมไปแล้วหรือไม่)
แต่อย่างไรก็ตาม รัฐประหาร2557รัฐธรรมนูญชั่วคราว2557นิรโทษกรรมให้คณะรัฐประหารหรือคสช. และให้มีอำนาจหน้าที่ตามม.44ด้วย ฐานะเป็นกบฏตั้งแต่เริ่มวางแผนจึงยุติลง ใครเป็นเจ้าหน้าที่รัฐมาแต่เดิมก็เป็นเจ้าหน้าที่รัฐมีอำนาจตามม.44ต่อไป อนึ่ง เจ้าหน้าที่รัฐในที่นี้เป็นคำกลางๆซึ่งอาจเรียกชื่อต่างๆขึ้นอยู่กับเป็นเจ้าหน้าที่รัฐตามกฎหมายใด เหมือนมะม่วงเป็นคำกลางๆ ย่อมเรียกชื่อเฉพาะแตกต่างกันไปได้หลากหลายชื่อตามสายพันธุ์
เมื่อคสช.กับหน.คสช.ซึ่งเป็นนายกรัฐมนตรีด้วยใช้อำนาจม.44 แม้จะมุ่งหวังให้มีผลบังคับในทางนิติบัญญัติ บริหาร และในทางตุลาการ แต่ไม่อาจทำให้ผู้ใช้อำนาจตามม.44กลายเป็นรัฏฐาธิปัตย์อย่างที่สถาบันพระมหากษัตริย์ทรงเป็นอยู่แล้ว เพราะกระบวนการยุติธรรมยังมีอำนาจตรวจสอบอยู่ โดยเฉพาะอำนาจตุลาการยังมีอยู่ตามปรกติ และสามารถใช้อำนาจในพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ ในขณะที่การใช้อำนาจตามม.44โดยมุ่งหวังจะให้มีผลในทางตุลาการ ไม่อาจหลีกพ้นการใช้อำนาจในชื่อหัวหน้าคณะรัฐประหาร ความไม่ชอบด้วยนิติธรรมสากลจึงเกิดขึ้น ส่งผลให้ไม่อาจลบล้างหรือเปลี่ยนแปลงหรือแก้ไขอำนาจตุลาการจริง อันเกิดจากเหตุผลสากลทางกฎหมายได้ เพราะโดยหลักกระบวนการทางศาลเป็นเรื่องการใช้เหตุผลสากลทางกฎหมาย ส่วนการใช้ม.44เพื่อให้เกิดผลทางตุลาการนั้น เหมือนใช้กระบวนการทางอำนาจอาวุธ ซึ่งทั่วโลกเลิกใช้ไปนานมากแล้ว(ปัจจุบันหาดูได้ในหนังที่มีการดำเนินเรื่องเกี่ยวโยงการเมืองการปกครองยุคโบราณของบางประเทศ) เพราะถึงจะใช้อย่างไรย่อมไม่ได้ผลทางตุลาการจริงๆ แต่จะให้ผลในทางบริหารทุกครั้งไป เนื่องจาก(1)ในสังคมการเมืองยุคใหม่(ประเทศที่เข้าสู่ยุคก้าวหน้า)ไม่มีใครกล้าคิดยึดอำนาจตุลาการ(แม้มีบางประเทศกล้าทำ แต่ได้ผลแค่ไล่ตุลาการจำนวนมากออกไป ในขณะที่อำนาจตุลาการยังคงอยู่เหมือนเดิม และไม่ขาดคนมาแทน) (2)คณะรัฐประหารตั้งแต่คณะที่สองเป็นต้นมาถึงคณะปัจจุบันไม่มีช่วงเวลาใดมีฐานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ได้เลย เพราะมีอำนาจตุลาการในระบบตรวจสอบและถ่วงดุลปรากฏอยู่ตลอด เนื่องจากคณะรัฐประหารไม่อาจยึดอำนาจตุลาการ (3)การตรวจสอบเป็นอำนาจหน้าที่ของฝ่ายตุลาการตามหลักการตรวจสอบและถ่วงดุล เมื่ออำนาจตุลาการยังมีอยู่ตลอด ผู้ใช้อำนาจตามม.44จึงอยู่ในฐานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐผู้มีอำนาจตามม.44เท่านั้น และต้องอยู่ภายใต้ระบบตรวจสอบและถ่วงดุลอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง อีกทั้งไม่มีเหตุผลทางกฎหมายใดมาอ้างว่าผู้ใช้อำนาจม.44มีฐานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์
หากยังหลงยุคย้อนไปถึงการทำรัฐประหารในขณะที่บ้านเมืองอยู่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราช และมองว่าคณะรัฐประหารเหล่านี้เป็นรัฏฐาธิปัตย์ มีอำนาจทำอะไรตามที่คิดเอาเอง แม้ทำไม่ถูกไม่เป็นธรรมก็ถือว่าถูกต้องหรือชอบด้วยกฎหมาย หรือถือว่าเป็นกฎหมาย แล้วหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ ย่อมเป็นมุมมองที่ห่างไกลหรือคลาดเคลื่อนจากเหตุผลสากลทางกฎหมายอย่างชัดเจน ถึงขั้นมีผลกระทบต่อการคุ้มครองสิทธิเสรีภาพความเสมอภาคและความเป็นคนของประชาชนได้อย่างแน่นอน(ยุคสมัยและกรอบแนวคิดเปลี่ยนไปแล้ว การตีความใช้กฎหมายย้อนยุคย้อนกรอบแนวคิด ย่อมมีผลต่อการให้เหตุผลทางกฎหมายเพี้ยนไป และอาจมีกรณีที่ยากแก่การยอมรับของประชาชนยุคใหม่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประชาชนในสังคมการเมืองยุคใหม่จึงไม่ได้รับการคุ้มครองเท่าที่ควรหรือถึงขั้นได้รับความเดือดร้อนจากการใช้สิทธิเสรีภาพฯลฯ)
อนึ่ง การใช้อำนาจม.44 ในขณะที่ยังมีอำนาจตุลาการคอยตรวจสอบ แม้ยังต้องรอกระบวนการยุติธรรมเบื้องต้นและเบื้องกลางดำเนินการตามขั้นตอน แต่ย่อมแสดงยืนยันเป็นที่ประจักษ์ได้แล้วว่าอำนาจม.44ไม่ใช่อำนาจสูงสุดถึงขั้นถือได้ว่าผู้ใช้อำนาจมีฐานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ เพราะโดยหลักแล้วมีฐานะเพียงเป็นเจ้าหน้าที่รัฐเท่านั้น เนื่องจากต้องปฏิบัติตามกฎหมายหรือม.44ตามรัฐธรรมนูญชั่วคราว ซึ่งพระมหากษัตริย์ทรงใช้พระราชอำนาจในฐานะรัฏฐาธิปัตย์หรือในฐานะสถาบันพระมหากษัตริย์ตราขึ้น และทรงประกาศให้ใช้บังคับ โดยมีหน.คสช.และนายกรัฐมนตรีใช้อำนาจได้ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่คณะรัฐมนตรีชุดใหม่ตามรัฐธรรมนูญ2560เข้ารับหน้าที่
ดังนั้น หากไม่ถือว่าหน.คสช.และนายกรัฐมนตรีในช่วงนั้นมีฐานะเป็นเจ้าหน้าที่รัฐด้วย ผู้คนจำนวนไม่น้อยย่อมอยากรู้ว่าบุคคลในวงการกฎหมายและนิติศาสตร์รัฐศาสตร์จะมองตรงกันว่ามีฐานะเป็นอะไรแน่ ในเมื่อมีความชัดเจนว่าคสช.เป็นองค์กรหนึ่งในรัฐธรรมนูญ2557และหัวหน้าคสช.ไม่มีฐานะเป็นรัฏฐาธิปัตย์ตลอดมา