รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ทำให้ความคิดของคนไทยแตกแยกอย่างรุนแรง เกิดมีกลุ่มผู้นำทางความคิดเกิดขึ้นสองกลุ่มใหญ่ ได้แก่ กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากรัฐประหาร และกลุ่มที่เสียประโยชน์จากการนั้น จะว่ารัฐประหารในครั้งนั้นไม่ทำให้ใครตายเลยคงไม่ได้ เพราะมีข่าวพอฟังได้ว่า มีผู้ประท้วงรัฐประหารโดยฆ่าตัวตายไปหนึ่งราย ท่านผู้นั้นใช้วิธีขับรถพุ่งเข้าชนอุปกรณ์ทำรัฐประหาร มีภาพแพร่ไปทั่ว
อย่างไรก็ดี นับเป็นครั้งแรกที่ต้องจารึกเป็นประวัติศาสตร์ของคนไทย เพราะหัวหน้ารัฐบาลที่ถูกรัฐประหารและพวกไม่ยอมก้มหัวให้กับการกระทำที่ขัดนิติธรรมสากล อีกทั้งมีคนไทยจำนวนไม่น้อยต่อต้านรัฐประหารอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันกลายเป็นกลุ่มพลังมหาชนที่มีอุดมการณ์เรียกร้องประชาธิปไตยและความเป็นธรรมสากล ภายใต้สัญลักษณ์สีแดง ซึ่งนิยมใช้กันในบรรดาประชาชนผู้มีอุดมการณ์เช่นเดียวกันทั่วโลก
ผลการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยและความเป็นธรรมจนถึงปี 2553 ปรากฎว่ามีประชาชนถูกฆ่าเกือบร้อยคน บาดเจ็บอีกนับพัน ซึ่งภาพที่ปรากฎย่อมชี้ให้เห็นชัดว่า ประเทศนี้ ไม่ใช่ประเทศที่มีประชาธิปไตย ไม่ใช่ประเทศที่มีองค์กรสิทธฺิมนุษยชนกำกับดูแล ไม่ใช่ประเทศที่มีผู้ตรวจการแผ่นดินกำกับดูแล และไม่ใช่ประเทศที่มีกระบวนการยุติธรรมที่ใช้นิติธรรมสากลเป็นหลักในการขับเคลื่อนกระบวนการ เพราะถ้ามี ย่อมไม่มีใครตายหรือบาดเจ็บถึงพิการ
แม้ผลการต่อสู้ถึงปี 2555 ยังไม่อาจถือว่ามีฝ่ายใดชนะขาดจริงๆ แต่ฝ่ายที่ได้ประโยชน์จากรัฐประหารก็เริ่มรู้ตัวว่า น่าจะพึงพารัฐประหารไม่ได้แล้ว ประเทศไทยจึงเริ่มเข้าสู่กระแสความปรองดอง โดยใช้วิธีการทางรัฐสภา
อย่างไรก็ดี โดยหลักการเดินหน้าปรองดองต้องเพื่อคนไทยทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการออกกฎหมายเพื่อให้เกิดผลเป็นความปรองดอง การทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่เป็นประชาธิปไตยจริงๆโดยมองประชาธฺิปไตยอย่างเป็นรูปธรรม และการออกกฎหมายว่าด้วยกระบวนการยุติธรรมภายใต้นิติธรรม ต้องดำเนินการไปพร้อมๆกัน เพราะหากล่าช้าย่อมเท่ากับรัฐบาลและรัฐสภาไม่ได้ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาขน และอาจถูกมองว่าพอใจอยู่ภายใต้ร่มเงาเผด็จการ นอกจากนั้น วิธีการทางฝ่ายบริหาร เพื่อให้เกิดความสามัคคีของคนในชาติ ด้วยการกำหนดกิจกรรมที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน มีความภาคภูมิใจร่วมกัน อันเนื่องจากความร่วมมือร่วมใจจากทุกฝ่าย ความปรองดองย่อมจะมีความเป็นรูปธรรมรวดเร็วขึ้น
Scribc/April 23th, 2012